วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

VM Ware

วิธีการติดตั้ง VMware by Mr.Jodoi

บทความนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจทดลองติดตั้ง OS หลายๆ OS ไว้ในเครื่อง PC หรือ Notebook เครื่องเดียวครับ
เช่น ต้องการทดลองติดตั้ง OS Linux บนเครื่อง Windows XP เป็นต้น เมื่อติดตั้งโปรแกรม VMware แล้วจะสามารถเปิดหลายๆ OS ได้โดยที่ไม่ต้องมีการ restart เครื่องเลยครับ โปรแกรม VMware ที่จะสอนการใช้นี้จะเป็น เวอร์ชั่น VMware Workstation ACE Edition version 6.0.4 เริ่มเลยนะครับ
ก่อนอื่นหาโปรแกรมมาติดตั้งที่เครื่องก่อน หลังจากติดตั้งเสร็จ เปิดโปรแกรมมาจะได้ตามรูปด้านล่าง
จากรูปด้านบน ให้เลือก New Virtual Machine ตามรูปด้านล่าง หลังจากนั้นให้กด Next

จะปรากฎ Virtual machine configuration ตามรูปด้านล่าง จะมีให้เลือก 2 ประเภทคือ Typical และ Custom เพื่อความเป็นมืออาชีพให้เลือก Custom ครับ เพราะเราจะสามารถกำหนดค่าต่างๆได้เอง แล้วกด Next
ขั้นตอนต่อไป เป็นการเลือก Hardware Compatibility ก็เลือกเป็น Workstation 6 ครับ กด Next ต่อเลยครับ

ขั้นต่อไปเป็นการตั้งชื่อ Virtual machine และ ตำแหน่งที่เก็บ เราสามารถกำหนดเองได้ เช่น ในตัวอย่างด้านล่างผมเลือกเก็บไว้ที่ drive D: ควรสร้าง Folder ไว้ต่างหากนะครับ


ขั้นตอนต่อไปเป็นการกำหนด จำนวน Processor เลือกเป็น One ตามรูปด้านล่าง


ขั้นต่อไปเป็นการกำหนด Memory ตรงส่วนนี้ ควรจะดู Memory ของเครื่องว่าปัจจุบันเหลือ Memory อยู่เท่าไหร่ เพราะเป็นการแบ่ง Memory มาให้เครื่อง VMware ดังตัวอย่างข้างล่าง แบ่งให้ VMware 256 MB


ขั้นต่อไปเป็นการกำหนด Network Connection ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทแตกต่างกันดังนี้ครับ
1. Use bridged networking หมายความว่า ตัว OS ใน VMware ที่เราติดตั้งจะอยู่ใน network เดียวกับตัวเครื่อง PC หรือมองว่าสาย Lan ต่ออยู่บน Hub หรือ switch ตัวเดียวกันกับ PC
2. Use network address translation (NAT) อันนี้จะหมายความว่า VMware ที่เราติดตั้งจะออกสู่ Internet โดยผ่านเครื่อง PC ครับ โดย PC จะทำการ NAT ให้ อันนี้ทดลองเอาไว้ test ได้ครับ ว่า NAT ทำงานถูกต้องหรือไม่
3. Use host-only networking อันนี้จะหมายความว่า VMware ที่เราติดตั้ง จะอยู่บน LAN เสมือน หรืออยู่บน Hub หรือ switch เสมือนที่เราสมมติขึ้นมาครับ โดยจะสามารถติดต่อได้เฉพาะที่อยู่บน LAN เสมือนเดียวกันเท่านั้น เอาไว้ทดลองเกี่ยวกับ network ได้ครับ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ Hub หรือ switch จริง
แนะนำให้เลือกข้อ 1 เพราะ ตัว VMware เราจะได้ออก Internet ได้โดยตรง แต่ต้องมีการ set ค่าต่างๆให้ถูกต้องนะครับเช่น IP Address , DNS , Gateway เป็นต้น หลังจากเลือกแล้วกด Next


ขั้นต่อไปเป็นการเลือก I/O Adapter Types กด Next เลยครับ


ขั้นต่อไปเป็นการเลือก Disk ให้เลือกข้อแรกครับ Create a new virtual disk เนื่องจากว่ายังไม่เคยติดตั้ง VMware เลย
แต่ถ้าเคยติดตั้งแล้ว หรือไป load VMware ที่เคยติดตั้งเสร็จแล้วมา ก็สามารถเลือก Use an existing virtual disk ได้ครับ ส่วนอันสุดท้ายเป็นการเลือก Disk จริงเลยครับ แต่แนะนำให้เลือกข้อแรกดีกว่าครับ สะดวกดี เผื่อผิดพลาดก็ลบทิ้งได้เลยครับ


ต่อไปเป็นการเลือกประเภทของ Disk ให้เลือกเป็น IDE อันนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ Disk นะครับ


ต่อไปเป็นการกำหนดขนาดของ Disk ก่อนกำหนดควรตรวจสอบพื้นที่ของ Disk ปัจจุบันด้วยนะครับว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ ตามตัวอย่างด้านล่างผมเลือก 2.5 GB


ต่อไปเป็นการกำหนดชื่อ File ครับ จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ได้ครับ ซึ่ง File นี้จะเป็น File ของ VMware ถ้าลบทิ้ง VMware ที่สร้างมาก็จะหายไปเลยครับ


เสร็จขั้นตอนนี้เป็นการเสร็จสิ้นการจัดการด้าน hardware สำหรับเครื่อง VMware ครับ


ต่อไปให้คลิกที่ Edit virtual Machine ตรงส่วนนี้เราสามารถปรับแต่ง Hardware ได้ครับ


ขั้นตอนนี้สำหรับคนที่มี file ISO อยู่ในเครื่อง ให้คลิกที่ CD-ROM แล้วเลือก Use ISO image : แล้ว Browse ไปยังที่ที่มี file ISO อยู่ครับ สำหรับคนที่ใช้แผ่น setup OS จริง ก็เลือก Use physical drive : ครับ


ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการติดตั้ง OS เหมือนเครื่องจริงทุกอย่างครับ ต้องมีการเปิด power โดยกดที่ปุ่มสีเขียว Powered ON ตรงไหนก็ได้ครับ


ตามตัวอย่างด้านล่างเป็นการติดตั้ง OS Linux CentOS version 5.2 ครับ

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว จะเป็นตามรูปด้านล่างครับ เท่านี้เราก็มี OS Linux ที่อยู่บน windows แล้วครับ

ขอเตือนหน่อยนึงนะครับ ขั้นตอนการปิดเปิด ตัว VMware ที่ติดตั้งเสร็จแล้ว เช่น Linux ให้มองว่าเหมือนเป็นเครื่อง PC จริงๆอีกเครื่องนึงนะครับ ห้ามปิดโปรแกรมเลย ให้ทำการ Shut down เหมือนเครื่อง PC จริงๆนะครับ ไม่งั้นอาจ boot ไม่ขึ้นได้เหมือนกัน เหมือนเราทำการปิดเครื่องโดยที่ไม่ได้ทำการ Shutdown ให้ถูกต้องครับ อาจต้องมีการติดตั้งใหม่นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ


การใช้งาน VMware Workstation

Written by Administrator
Monday, 28 September 2009 12:03
VMware เป็นโปรแกรม virtual Machine มีความสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง ไว้ในเครื่องเดียว บนระบบปฏิบัติการวินโดว์ จริง ๆ ก็ใช้กับระบบปฏิบัติอื่น ๆ ได้ด้วย ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดความสะดวกในการทดลอง ทดสอบติดตั้งระบบปฏิบัติการ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรกับเครื่องคอมพิวเตอร์จริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก หากเราจะมานั่งทดสอบลงระบบปฏิบัติการกับเครื่องคอมพิวเตอร์จริง ๆ ต้องใช้เวลานาน และอาจจะส่งผลเสียกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลต่าง ๆ อีกมากมาย สำหรับโปรแกรมที่ใช้ทดสอบคือ VMware Workstation 6.0.4 ลองจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ CPU ปกติตาความเร็วเครื่อง RAM 256 MB ฮาร์ดดิสก์ IDE ซีดีรอม ี่ในที่นี้ไม่ใช้ซีดีจริง ๆ นะครับ เป็นอิมเมจไฟล์ที่โคลนมาจากซีดีอีกที อย่างอื่นก็พื้น ๆ การ์ดแลนท์ การ์ดเสียง การ์ดจอภาพ
1.เริ่มสร้าง เครื่องที่ใช้ทดสอบใหม่ เป็นระบบปฏิบัติการ Windows XP SP3

2.เข้าที่เมนู file >> New >> Virtual Machine

3.เข้าสู่เมนู วิซาส ต่อไป

4.เลือกที่ Typical

5.เลือกระบบปฏิบัติการ เพื่อกำหนดฮาร์ดแวร์ ให้เหมาะสม

6.ตั้งชื่อให้กับเครื่องนี้

7.ตั้ง ค่าเน็ตเวอร์ค User bridgen networking คือ นำไอพีจริงที่เครื่องใช้มาใช้เลย User network address translation (NAT) สร้างระบบเน็ตเวอร์คขึ้นใหม่โดยใช้ NAT สร้างวงแลนท์ขึ้นใหม่

8.กำหนดค่าความจุดิสก์

9.จากนั้นก็ได้เครื่องจำลองที่พร้อมจะใช้งานแล้วดับเบิ้ลคลิ๊ก ที่ Devices เพื่อปรับแต่งฮาร์ดแวร์ไ้ด้

10.ปรับแต่ฮาร์ดดิสก์สักหน่อย

11.เลือกที่ซีดีไดร์ ได้ครับว่าจะให้สตร์าท ที่ไดร์ไหน อักษรไดร์ตามจริงกับที่มีในเครื่องครับ

12.อันนี้จะไม่เล่นกับซีดีแผ่นจริง ใช้อิมเมจไฟล์ดีกว่า คลิ๊ก Browse.. เพื่อค้นหาไฟล์อิมเมจที่เราเก็บไว้ในเครื่อง

13.เมื่อปรับแต่งเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดเครื่องเลยครับ กดที่ start ปุ่มสามเหลี่ยมเขียว ๆ

14.เริ่มทำงาน ติดตั้งเหมือนเครื่องจริงทุกประการ

^^^ ปุ่มแถวนี้ใช้ขยายหน้าจอให้ใหญ่

15.เมื่อ จะนำเคอร์เซอร์ ออกจากเครื่องจำลองให้กด Ctrl+alt เคอร์เซอร์ ก็จะสามารถมาโลดแล่นข้างนอกได้ จะเข้าไปใช้ในเครื่องจำลองก็เพียงกดที่ หน้าจอเครื่องจำลอง
ถ้าต้องการก็อปข้อมูลจากเครื่องจริงไปดิสก์จำลองล่ะ ทำไง ก็ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Devices Hard Disk ของเครื่องจำลองนั้น ๆ

แล้วทำการ Map กำหนดพารามิเตอร์ของไดร์ เสร็จแล้วไดร์จะไปโชว์ที่ My Computer

กรณี ที่ติดตั้งระบบ Unix อย่างเช่น Debian ซึ่งมีตั้ง 21 แผ่นซีดี หรือ 3 แผ่น ดีวีดี ไม่รู้ว่าทำไมมันมากมายปานนั้น เมื่อเครื่องถามหาแผ่นใหม่ (กรณีใช้ติดตั้งจากอิมเมจไฟล์) คลิ๊กขวาที่มุมด้านล่างขวาสุดที่เป็นรูปไดร์ซีดี Edit
เลือกอิมเมจไฟล์ อันที่เครืองถามหา

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

ช่องทางการสื่อสารข้อมูลของคอมพิวเตอร์

ช่องทางการสื่อสารข้อมูลของคอมพิวเตอร์
1.RS-232 ย่อมาจาก Recommended Standard-232 เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลแบบอนุกรม กำหนดโดย EIA (Electronics Industry Association) หรือ สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอเมริกา ใช้กับการสื่อสารแบบจุดต่อจุด โดยใช้สายเชื่อมต่อ DB แบบ 25 และ 9 เข็ม ที่ไม่ประสานจังหวะระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ต่อพ่วง มีการทำงานแบบสองทางพร้อมกัน (Full-duplex) โดยอาจใช้สายสัญญาณอื่นร่วมเพื่อทำแฮนด์เชค (Hand-shake) หรือไม่ก็ได้คะทั้งนี้มาตรฐาน RS-232 จำกัดความยาวสายไว้ที่ 50 ฟุด (หรือประมาณ 15 เมตร) สำหรับการส่งสัญญาณที่ความเร็ว 19,200 บิทต่อวินาที โดยที่ความยาวสายจะต้องสั้นลงถ้าต้องการสื่อสารที่ความเร็วสูงขึ้นนะคะ
guru.google.co.th

2.สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) หรือสาย CAT (Category)
เป็นสายเส้นเล็กจำนวน 8 เส้นตีเกลียวคู่ มีอยู่ 4 คู่ ไม่มีเส้นลวดถัก (shield) เพราะการตีเกลียวคู่เป็นการลดสัญญาณรบกวนอยู่แล้ว การใช้งานจะต้องมีการแค๊มหัว RJ-45 เข้ากับสาย UTP แล้วนำไปเสียบเข้ากับ Hub มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 10/100Mbps ปัจจุบันนิยมใช้สาย CAT 5 กันมาก เพราะสนับสนุนการรับ-ส่งข้อมูลความเร็วตั้งแต่ 10-100 Mbpsและได้เกือบ 1000 Mbps คืออยู่ราวๆ 700 - 800 Mbps ตอนนี้ที่ใช้อยู่ คือวงแลนวงใหม่ที่ได้ทำให้กับ อาคารสถาบันดำรงราชานุภาพครับ
guru.google.co.th

3.คือรูปแบบการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์รูปแบหนึ่งคะ โดยฮาร์ดดิสก์มาตรฐาน Serial ATA มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถพัฒนาความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างฮาร์ดดิสก์กับระบบได้สูงกว่ามาตรฐาน E-IDE ที่มีความเร็วจำกัดอยู่ที่ 133 เมกะไบต์ต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐาน Serial ATA มีความเร็วสูงถึง 150 เมกะไบต์ต่อวินาทีคะ และมีการพัฒนาความเร็วไห้สูงขึ้นอยู่ต่อเนื่องด้วยคะ
guru.google.co.th

4.สำหรับคอมพิวเตอร์แล้วนะคะ Parallel Port หรือที่เรียกว่า พอร์ตคู่ขนาน คือช่องทางการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับภายนอก (external connectors) มีลักษณะเป็นพอร์ตตัวเมียที่มี 25 ขา อยู่ด้านหลังเคสคอมพิวเตอร์ เดิมทีเรียกพอร์ตคู่ขนานว่า "พริ้นท์เตอร์พอร์ต" (Printer Port) เพราะว่ามีการนำพอร์ตขนาน มาใช้งานติดต่อกับเครื่องพรินเตอร์เป็นหลัก โดยที่พอร์ตขนานนั้นสามารถให้ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลได้รวดเร็วกว่าพอร์ตแบบอนุกรม และยังสามารถส่งข้อมูลขนาน 8 บิตออกไปได้โดยตรงเลยคะ ก็เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งบนถนนหลายเลน จะทำให้ไปถึงจุดปลายทางได้อย่างรวดเร็วนั่นเองแต่ว่าปัจจุบันแม้จะยังมีอุปกรณ์รองรับพอร์ตคู่ขนานอยู่ แต่ก็พบไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะใช้ต่อเชื่อมกับเครื่องพิมพ์ขนาดกลางและสแกนเนอร์บางรุ่นเท่านั้น พอร์ตคู่ขนานกลายเป็นพอร์ตรุ่นเก่า ที่ให้ความเร็วในการต่อเชื่อมที่ดีในระดับหนึ่ง เพราะมีการพัฒนาพอร์ตแบบ USB ขึ้นมาใช้และได้รับความนิยมแพร่หลายกว่า
guru.google.co.th

5.สำหรับโปรแกรมประยุกต์(Application) ที่ใช้ TCP (Transmission Control Protocol) หรือ UDP (User Datagram Protocol) จะใช้หมายเลข port หมายเลข port คืออะไร ?หมายเลข port คือเลขฐาน 16 บิต ตั้งแต่ 0 ถึง 65535 หมายเลข port แต่ละหมายเลขจะถูกกำหนดโดยเฉพาะจาก OS (Operating Systems)ทาง Internet Assigned Numbers Authority (IANA) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานการเลือกใช้ Port ว่า Port หมายเลขใดควรเหมาะสำหรับ Service ใดเช่น เลือกใช้ TCP Port หมายเลข 23 กับ Service Telnet และเลือกใช้ UDP Port หมายเลข 69 สำหรับ Service Trivial File transfer Protocol (TFTP)หมายเลข Port ถูกจัดแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ well known Ports และ Registered Portswell known Ports คืออะไร ?Well Known Ports คือจะเป็น Port ที่ระบบส่วนใหญ่ กำหนดให้ใช้โดย Privileged User (ผู้ใช้ที่มีสิทธิพิเศษ) โดย port เหล่านี้ ใช้สำหรับการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีระบบเวลาที่ยาวนาน วัตถุประสงค์เพื่อให้ service แก่ผู้ใช้ (ที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย) แปลกหน้า จึงจำเป็นต้องกำหนด Port ติดต่อสำหรับ Service นั้นๆแล้ว Registered Ports ล่ะคืออะไร ?Registered Ports จะเป็น Port หมายเลข 1024 ขึ้นไปตัวอย่างการใช้ PortTransport layer segment ที่ประกอบไปด้วยหมายเลข Port ของเครื่องปลายทาง โดยที่เครื่องปลายทาง (Destination host) จะใช้ Port นี้ในการส่งข้อมูลให้กับ Application ได้ถูกต้อง หมายเลข Port จะอยู่ใน 32 bit แรกของ TCP และ UDP header โดยที่ 16 bit แรกเป็นหมายเลข Port ของเครื่องต้นทาง ขณะที่ 16 bit ต่อมาเป็นหมายเลข Port ของ เครื่องปลายทาง Well know Ports เป็น Port ที่ค่อนข้างมาตรฐาน ทำให้เครื่อง Remote Computer สามารถรู้ได้ว่าจะติดต่อกับทาง Port หมายเลขอะไรสำหรับ Service นั้นๆกลุ่มของหมายเลข Port และ หมายเลข IP เราเรียกว่า Socket ที่ประกอบด้วย Socket หนึ่งตัว สำหรับต้นทาง และอีกตัว สำหรับปลายทาง ดังรูป(ข้างล่างครับ)ความแตกต่างระหว่าง Active และ Passive Port ในการใช้การติดต่อด้วย TCP สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ Passive และ Active Connection Passive connection คือ การติดต่อที่ Application process สั่งให้ TCP รอหมายเลข Port สำหรับการร้องขอการติดต่อจาก Source Host เมื่อ TCP ได้รับการร้องขอแล้วจึงทำการเลือกหมายเลข Port ให้ แต่ถ้าเป็นแบบ Active TCP ก็จะให้ Application process เป็นฝ่ายเลือกหมายเลข Port ให้เลย
www.thaiadmin.org › ... › Knowledge ZoneDocument Center

6.การเข้าหัว Lan (RJ-45)
การทำสายสัญญาณ เพื่อใช้เองในบ้านหรือในสำนักงานขนาดเล็กก็ได้ วิธีการก็ไม่มีอะไรมากอย่างแรกเลยก็จัดเตรียมเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อนจะได้ไม่ต้องวิ่งหาตอนติดตั้ง โดยอุปกรณ์โดยทั่วไปก็มี สายสัญญาณหรือ UTP Cable หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าสาย LAN แล้วก็หัว RJ-45 (Male), Modular Plug boots หรือตัวครอบสาย หากว่ามี Wry Marker แล้วก็จะมีเหมือนกันเพราะว่าจะช่วยในการทำให้เราจำสายสัญาณได้ว่าปลายด้านไหนเป็นด้านไหน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นหมายเลข ไว้ใส่ในส่วนปลายทั้งสองด้านเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบระบบสายสัญญาณ คีมแค้มสายสัญญาณ หรือ Crimping Tool, มีดปอกสาย หรือ Cutter
เอาละมาว่ากันเลยดีกว่าก่อนอื่นก็หยิบมีดหรือ Cutter อันเล็ก ๆ มาอันหนึ่งแล้วก็เล็งไปที่นิ้วจากนั้นก็ตัดนิ้วทิ้งไปซะ แล้วค่อยเอาหัว RJ มาต่อกับนิ้วแทน เท่านี้คุณก็สามารถเชื่อมต่อตัวคุณเองเข้าสู่ระบบเครือข่ายด้วยความไวสูงสุดถึง 100 มิลลิลิตรต่อนาที บางทีอาจจะเป็น Full Duplex Mode อีกต่างหาก ล้อเล่น ๆ เอาละนะใช้มีดปอกสายสัญญาณที่เป็นฉนวนหุ้มด้านนอกออกให้เหลือแต่ สายบิดเกลียวที่อยู่ด้านใน 8 เส้นแล้วก็จะเห็นด้ายสีขาว ๆ อยู่ให้ตัดทิ้งได้ โดยการปอกสายสัญญาณนั้นให้ปอกออกไว้ยาว ๆ หน่อยก็ได้ประมาณสัก 1 เซ็นครึ่งก็น่าจะได้นะตามตัวอย่างดังรูปข้างล่างนี้
จากนั้นก็ให้ใส่ Modular Plug boots เข้ากับสาย UTP ด้านที่กำลังจะต่อกับหัว RJ-45 ไว้ก่อนเลยดังรูปข้างล่างนี้
รูปแสดงคีมหรือ Crimping Tool ที่จะใช้ในการแค้มหัว อันนี้เป็นของยี่ห้อ Amp ราคาในตลาดก็คงประมาณ 5,000-6,000 บาทมั้งแต่ถ้าไม่ได้ใช้เยอะก็แนะนำให้เดินซื้อแถวพันทิพย์ หรือ ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ทุกมุมในปัจจุบันนี้ ถ้าเอาแบบพอใช้ได้ราคาก็ประมาณ 400-800 บาท คุณภาพก็พอใช้ได้นะ ผมก็เคยซื้อมาใช้หลายอันแล้ว แต่ของ Amp นี้ค่อนข้างน่าใช้และชัวร์กว่าเยอะในการเข้าสาย แต่ราคานี่สิผมว่ามันไม่ค่อยจะน่าสนเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีอาชีพในการทำงานด้านนี้เฉพาะหรือ ต้องมีการเดินระบบสายสัญญาณบ่อย ๆ
รูปของคีมหรือ Crimping Tool ด้านหน้าที่จะใช้แค้มสาย
หลังจากที่ปอกสายเสร็จแล้วก็ให้ทำการแยกสายทั้ง 4 คู่ที่บิดกันอยู่ออกเป็นคู่ ๆ ก่อนโดยที่ให้แยกคู่ต่าง ๆ ตามลำดับต่อไปนี้ ส้ม-ขาวส้ม ---> เขียว-ขาวเขียว ---> น้ำเงิน-ขาวน้ำเงิน ---> น้ำตาล-ขาวน้ำตาล เพื่อแบ่งสายออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยมาทำการแยกแต่ละคู่ออกมาเป็นเส้น โดยให้ไล่สีดังนี้
แบบสายตรง 2ข้างเหมือนกัน
ขาวส้ม ---> ส้ม ---> ขาวเขียว ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> เขียว ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล
ซึ่งสีที่ไล่นี้เป็นสีที่ใช้เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วการเข้าสายมีมาตรฐานการไล่สีอยู่หลัก ๆ ก็ 2 แบบแต่ในที่นี้ผมเอาแบบนี้แล้วกันเพราะว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้วิธีการไล่สีแบบนี้ หลังจากจัดเรียงสีต่าง ๆ ได้แล้วก็ให้จัดสายให้เป็นระเบียบ ให้พยายามจัดให้สายแต่ละเส้นชิด ๆ กัน ดังรูป
หลังจากนั้นให้ใช้คีมตัดสายสัญญาณที่เรียงกันอยู่นี้ให้มีระบบปลายสายที่เท่ากันทุกเส้น โดยให้เหลือปลายสายยาวออกมาพอสมควร จากนั้นก็ให้เสียบเข้าไปในหัว RJ-45 ที่เตรียมมา โดยให้หันหัว RJ-45 ดังรูปจากนั้นค่อย ๆ ยัดสายที่ตัดแล้วเข้าไป โดยพยายามยัดปลายของสาย UTP เข้าไปให้สุดจนชนปลายของช่องว่าในหัว RJ-45 เลย
จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณในช่วงนี้ก็คือต้องยัดฉนวนหุ้มที่หุ้มสาย UTP นี้เข้าไปในหัว RJ-45 ด้วย โดยพยายามยัดเข้าไปให้ได้ลึกที่สุดแล้วกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหักงอของสายง่าย โดยให้ยัดเข้าไปให้ได้ดังรูปข้างล่างนี้
แล้วก็นำเข้าไปใส่ในช่องที่เป็นช่องแค้มหัวของ RJ-45 ในคีมที่จะใช้แค้มหัว หรือ Crimping Tool ให้ลงล็อกของคีมพอดี จากนั้นก็ให้ทำการกดย้ำสายให้แน่น เพื่อให้ Pin ทีอยู่ในหัว RJ-45 นั้นสัมผัสกับสายทองแดงที่ใส่เข้าไป บรรจงนิดหนึ่งนะครับในช่วงนี้ เพราะว่าเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของชีวิตสายสัญญาณของคุณเลยแหละ เท่าที่ประสบการในการเข้าสายสัญญาณของผม ถ้าเป็นไอ้เจ้า Amp นี่ก็ไม่ต้องออกแรงมากเท่าไหร่ก็ OK ได้เลย แต่ถ้าเป็นแบบของทั่ว ๆ ไปก็คงต้องออกแรงกดกันนิดหนึ่งแล้วกัน
อ้า...ท้ายที่สุดก็จะได้ปลายสัญญาณของระบบที่คุณต้องการดังกล่าวดังรูป ที่นี้ก็ไปทำอย่างที่ว่ามานี้อีกครั้งหนึ่งที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง แต่อย่าหลงเข้าใจผิดว่านี่เป็นสาย Cross นะ เพราะว่าสาย Cross นั้นคุณต้องทำการสลับสายสัญญาณที่เข้านี้ เพราะว่าการเข้าสายทั้งสองแบบนี้การไล่สีของสายไม่เหมือนกัน แตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนสาย Cross เราสามารถนำเอาไปเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นระบบเครือข่ายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ HUB ได้เลย แต่ได้แค่ 2 เครื่องเท่านั้น ส่วนสายแบบที่ต่อตรง ๆ นั้นจะใช้เชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์มายัง HUB
แบบไขว้หรือคอร์ส 1หัวเ่ท่านั้น อีก1หัวเข้าแบบสายตรง
หัวที่1 แบบคอร์ส
ขาวเขียว---> เขียว ---> ขาวส้ม ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> ส้ม ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล
หัวที่2 แบบตรง
ขาวส้ม ---> ส้ม ---> ขาวเขียว ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> เขียว ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล
comsci48.212cafe.com/archive/2008-01-31/lan-rj45/